Equity Forum 2023 รัฐบาลขานรับข้อเสนอ กสศ. และภาคีเครือข่าย เดินหน้าพัฒนาทุนมนุษย์ 3 ช่วงวัย ยุติวงจรความจนข้ามรุ่น ก้าวสู่ประเทศรายได้สูง

วันที่ 25 ตุลาคม 2566 กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กศส.) ได้จัดงานสัมมนาวิชาการ Equity Forum 2023 ภายใต้ชื่องาน ‘ทุนมนุษย์เพื่อยุติความเหลื่อมลํ้า’ ณ ห้องออดิทอเรียม หอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร เพื่อเสนอรายงานสถานการณ์ความเหลื่อมลํ้าทางการศึกษาของประเทศไทย ประจำปี 2566 พร้อมทั้งนำเสนอผลงานการวิจัยและแนวทางการลงทุนพัฒนาทุนมนุษย์ในประชากร 3 ช่วงวัยสำคัญของประเทศ ได้แก่ ทุนมนุษย์ช่วงปฐมวัย ทุนมนุษย์วัยแรงงานช่วงต้น และทุนมนุษย์ประชากรวัยแรงงาน เพื่อเตรียมความพร้อมให้ประเทศไทยก้าวข้ามความเหลื่อมลํ้าทางการศึกษาและหลุดพ้นกับดักประเทศรายได้ปานกลาง (Middle-income Trap) 

การลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ ยุติความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาอย่างยั่งยืน

ในช่วงแรกของการสัมมนา ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กล่าวเปิดสัมมนาด้วยการนำเสนอข้อมูลสถานการณ์ความเหลื่อมลํ้าทางการศึกษา ประจำปี 2566 โดยมีหลักฐานเชิงประจักษ์จากการติดตามข้อมูลนักเรียนในครัวเรือนยากจนพิเศษตั้งแต่ปี 2562-2566 ชี้ว่า สถานการณ์หลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 เศรษฐกิจไทยยังไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่ ซึ่งจะเป็นตัวเร่งให้สถานการณ์ความเหลื่อมลํ้าทางการศึกษารุนแรงยิ่งขึ้น โดยเฉพาะต้นทุนทางการศึกษา เช่น ค่าเดินทาง ค่าอาหาร 

สถานการณ์ดังกล่าวทำให้เด็กและเยาวชนในครอบครัวเปราะบางได้รับผลกระทบมากที่สุด ขณะที่เด็กและเยาวชนที่มีความพร้อมทางเศรษฐกิจมากกว่าจะสามารถฟื้นตัวจากภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ได้รวดเร็วกว่า ด้วยเหตุนี้จึงมีข้อกังวลว่า หากเด็กและเยาวชนกลุ่มเปราะบางไม่สามารถเข้าถึงระบบการศึกษาได้อีกครั้ง จะทำให้เด็กและเยาวชนกลุ่มนี้กลายมาเป็น ‘ประชากรรุ่นสูญหาย’ (Lost Generation) ดังนั้นจึงเป็นการยืนยันได้ว่า ปัญหาทุนมนุษย์โดยเฉพาะกลุ่มเด็กยากจนเปราะบางจะต้องได้รับการพัฒนาภายใต้ความเปลี่ยนแปลงของสังคมและเงื่อนไขใหม่ เพื่อไม่ให้พวกเขาต้องเสียโอกาสในชีวิต

ผู้จัดการ กสศ. มีข้อเสนอเชิงนโยบาย 4 ข้อด้วยกัน เพื่อให้เด็กและเยาวชนมีหลักประกันโอกาสทางการศึกษา พัฒนาทุนมนุษย์เสมอภาค เศรษฐกิจไทยมีกำลังคนที่มีคุณภาพสูงพร้อมแข่งขันกับนานาชาติ ซึ่งจะส่งผลให้ฐานภาษีของรัฐกว้างขึ้นจากการเติบโตของรายได้คนไทย ตลอดจนสามารถยุติวงจรความยากจนข้ามรุ่น และก้าวสู่ประเทศรายได้สูงต่อไป ดังนี้

1. ลงทุนในเด็กและเยาวชนตั้งแต่ระดับปฐมวัย (Invest Early) โดยเฉพาะเด็กปฐมวัยในครัวเรือนที่อยู่ใต้เส้นความยากจน มุ่งเน้นการลงทุนที่ตัวเด็กและครัวเรือน รวมทั้งพัฒนาสถานดูแลเด็กปฐมวัยที่มีกลุ่มเป้าหมายดังกล่าว

2. ลงทุนให้ถูกกลุ่มเป้าหมายสำคัญของประเทศ และด้วยวิธีการที่ชาญฉลาด (Invest Smartly) ประเทศไทยควรลงทุนในการสร้างระบบการศึกษาทางเลือก (Alternative Education) ที่มีความยืดหยุ่น ตอบโจทย์ชีวิตและครอบครัวของเยาวชนที่ออกจากระบบการศึกษาหลังสำเร็จการศึกษาภาคบังคับและการศึกษาขั้นพื้นฐานทุกๆ ปี

3. ลงทุนอย่างเสมอภาค (Invest Equitably) ให้ความสำคัญต่อสิทธิทางการศึกษาของเด็กและเยาวชน ปรับปรุงเงื่อนไขทางบัญชีและการเงินของสถาบันให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น

4. ลงทุนด้วยนวัตกรรมทางการเงินการคลังเพื่อการพัฒนาทุนมนุษย์ (Invest Innovatively) โดยใช้แรงจูงใจในการลดหย่อนภาษี 2 เท่า มาพัฒนานวัตกรรมความร่วมมือและนวัตกรรมทางสังคม เพื่อสนับสนุนการลงทุนพัฒนาทุนมนุษย์อย่างเสมอภาคและยั่งยืน รวมถึงการใช้มาตรการกึ่งการคลัง (Quasi-fiscal Policy) เพื่อสนับสนุนงบประมาณในการลงทุนในทุนมนุษย์อย่างเสมอภาคและยั่งยืน

การพัฒนาทุนมนุษย์ในประชากรวัยแรงงาน

ลำดับถัดมาเป็นการนำเสนอผลงานวิจัยสถานการณ์การพัฒนาทุนมนุษย์วัยแรงงาน โดย โคจิ มิยาโมโต (Mr.Koji Miyamoto) นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสด้าน Global Practice จากธนาคารโลก (World Bank) ตอกย้ำให้เห็นถึงความสำคัญของเครื่องมือวัดผล เพื่อให้เกิดความสะดวกและแม่นยำในการแบบออกนโยบายเพื่อการแก้ไขปัญหาและพัฒนาทุนมนุษย์ประชากรวัยแรงงาน

มิยาโมโตเริ่มต้นด้วยการตั้งคำถามว่า “คุณเชื่อไหม หากผมบอกว่า วัยแรงงานชาวไทยส่วนใหญ่ไม่สามารถอ่านฉลากและเข้าใจข้อมูลข้างขวดยานี้ได้” แม้ข้อมูลนี้อาจฟังดูน่าเชื่อถือแค่ไหน แต่หากไร้การประเมินหรือไม่มีข้อมูลยืนยันที่ชัดเจน คนส่วนใหญ่ก็อาจได้รับชุดข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง และหากจะนำเสนอออกมาเป็นนโยบาย ก็อาจทำให้คลาดเคลื่อนและสิ้นเปลืองงบประมาณได้

ด้วยเหตุนี้ มิยาโมโตจึงให้ความสำคัญกับระบบการประเมิน โดยหยิบยกตัวอย่างโปรแกรมประเมินสมรรถนะนักเรียนมาตรฐานสากล (Programme for International Student Assessment หรือ PISA) ในปี 2018 ซึ่งมีการประเมินทักษะด้านการอ่าน คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ เพื่อชี้ให้เห็นว่า ในเวลานั้นประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาด้านการพัฒนาการศึกษาอย่างไรบ้าง เพราะผลคะแนน PISA จะบ่งบอกถึงระดับการเรียนรู้ของนักเรียน และยังสะท้อนผลลัพธ์ด้านความเสมอภาคอีกด้วย ซึ่งการประเมินผลดังกล่าวจะช่วยให้ผู้กำหนดนโยบายสามารถออกแบบและจัดการนโยบายได้อย่างสะดวกและแม่นยำมากขึ้น 

ทั้งนี้ กระบวนการทำงานจะมีขั้นตอนสำคัญเริ่มจาก 1) กำหนดนโยบาย 2) การดำเนินนโยบาย 3) ติดตามและประเมินผล และ 4) กำหนดวาระ จากนั้นจึงค่อยย้อนกลับไปสู่ขั้นตอนการกำหนดนโยบายใหม่ ซึ่งการทำเช่นนี้จะช่วยให้นักการศึกษาได้ประโยชน์เพื่อใช้ในการออกแบบกิจกรรมหรือหลักสูตรฝึกอบรมร่วมไปด้วย

มิยาโมโตเสนอด้วยว่า ทักษะเป็นสิ่งที่ต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่องและค่อยๆ สั่งสม เสมือนการปั้นหิมะแล้วปล่อยให้กลิ้งลงจากเนินเขา ซึ่งก็จะค่อยๆ สะสมหิมะขึ้นมาเป็นก้อนใหญ่ ฉะนั้นโปรแกรม PISA ที่ได้ทำการประเมินผลเยาวชนอายุ 15 ปี จึงหมายความว่าเป็นการประเมินผลทักษะที่สะสมมาตลอด 15 ปี แต่ในความเป็นจริง เราจำเป็นต้องเก็บผลการประเมินต่อเนื่องไปอีกหลังจากพ้นอายุ 15 ปีไปแล้ว ซึ่งเป็นข้อเสนอที่ธนาคารโลกได้จัดทำร่วมกับ กสศ. จนเป็นที่มาของโครงการวิจัยมาตรฐานคุณภาพโรงเรียน (Fundamental School Quality Levels: FSQL) และโครงการวิจัยสำรวจทักษะและความพร้อมของกลุ่มประชากรวัยแรงงานของประเทศไทย (Adult Skills Assessment in Thailand: ASAT)

มิยาโมโตอธิบายถึงโครงการ ASAT ว่ามีการสำรวจทักษะประชากรวัยแรงงานในระดับครัวเรือน โดยใช้ตัวอย่างการศึกษามากถึง 7,312 ครัวเรือน ทั้งภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง กรุงเทพฯ เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (EEC) และภาคใต้ ภายในกรอบระยะเวลาช่วงปี 2565 ที่ผ่านมา เพื่อวัดผล 4 มิติหลัก ได้แก่ ทักษะการรู้หนังสือ ทักษะด้านดิจิทัล ทักษะทางสังคม และทักษะด้านอารมณ์ นอกจากนั้นยังมีการประเมินจากภูมิหลังของแต่ละบุคคลและครอบครัวกลุ่มตัวอย่างอีกด้วย

ผลลัพธ์ของการประเมินในโครงการดังกล่าวจะเผยแพร่ในช่วงต้นเดือนธันวาคม 2566 ที่จะถึงนี้ ซึ่งนับเป็นการประเมินผลทักษะของประชากรแรงงานไทยอย่างครอบคลุมมากที่สุดครั้งแรกในประเทศไทย และเป็นการประเมินผลเพื่อหาอุดช่องว่างทางทักษะครั้งแรกในกลุ่มประชากรรายได้ปานกลาง-สูง

ขับเคลื่อนนโยบายการลงทุนพัฒนาทุนมนุษย์ เพื่ออนาคตของประเทศ

วงเสวนาลำดับถัดมาในเวที Equity Forum 2023 ในหัวข้อ ‘การลงทุนพัฒนาทุนมนุษย์ เพื่ออนาคตของประเทศ’ ได้รับเกียรติจากนักวิชาการที่มีประสบการณ์ด้านการทำวิจัยนโยบายและฝ่ายการเมือง 4 ท่านคือ ดร.ณหทัย ทิวไผ่งาม ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และประธานคณะทำงานด้านนโยบายการศึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์ พรรคเพื่อไทย ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ดร.นฎา วะสี ผู้อำนวยการวิจัย สถาบันเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ธนาคารแห่งประเทศไทย (PIER) และพงษ์ศักดิ์ ยิ่งชนม์เจริญ นายกเทศมนตรีนครยะลา มาร่วมแบ่งปันข้อมูลและร่วมผลักดันขับเคลื่อนนโนบายการลงทุนเพื่อพัฒนาทุนมนุษย์

ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวว่าโลกกำลังเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ และจะอยู่ยากมากขึ้น ทั้งเรื่องเทคโนโลยีใหม่ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จะเป็นตัวเปลี่ยนเกมหากเราไม่พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น การพัฒนาทุนมนุษย์มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องวางอยู่บนชุดข้อมูลที่จะทำให้เราสามารถมองเห็นและแก้ไขปัญหาภาพรวมและเชิงระบบได้ ส่วนในระดับหน่วยย่อยนั้นอาจจะมีความยากกว่า เพราะจำเป็นต้องลงไปแก้ไขเป็นรายกรณีไป 

“เวทีวันนี้เห็นพลังของข้อมูลเพื่อมาคุยและดูร่วมกัน เมื่อเห็นปัญหาร่วมกันแล้ว  ข้อมูลเหล่านี้จะทำให้เกิดการทำงานแก้ปัญหาในเชิงระบบได้ แต่ถ้าจะทำระดับบุคคลต้องออกแรงกันเยอะพอสมควร เหมือนอย่างที่ กสศ. ลงไปเก็บข้อมูลเป็นรายกรณี คนที่มีความสุขอาจจะมีความสุขเหมือน ๆ กัน แต่คนที่มีความทุกข์จะทุกข์ประสาใครประสามัน อยากจะช่วยเด็กตกหล่นก็ต้องไปดูเป็นรายเคสกันไป”

ดร.สมเกียรติ ระบุว่าเป้าหมายในการพัฒนาทุนมนุษย์นั้นจะต้องตั้งคำถามก่อนว่า เราอยากเห็นคนไทยมีทักษะแบบไหน เช่น อยากเห็นคนตกหล่นน้อยลง ช่วงวัยเด็กเล็กจะมีชุดทักษะแบบหนึ่ง วัยเยาวชนไปถึงวัยผู้ใหญ่จะมีชุดทักษะอีกแบบหนึ่ง การประมวลข้อมูลจะช่วยให้เห็นว่าควรมีการพัฒนาทักษะต่อไปอย่างไร และจะต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งที่ผ่านมาประเทศไทยมีตัวอย่างและรูปแบบการดำเนินการในหลายกรณีที่เกิดผลเป็นรูปธรรมเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ภาครัฐจะต้องเข้ามาร่วมส่งเสริมผลักดันต่อไป 

“ข่าวดีตอนนี้คือประเทศไทยเริ่มมีต้นแบบหลาย ๆ ตัวอย่าง เช่น รายงานความพร้อมของเด็กปฐมวัยในการเข้าสู่ประถมศึกษาที่ กสศ. กับสถาบันวิจัยเพื่อการประเมินและออกแบบนโยบาย (RIPED) ไปทำงานพื้นที่มา ประเด็นสำคัญก็คือแล้วเราจะเอาข้อค้นพบต่าง ๆ มา Scale up ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระดับประเทศยังไง อันนี้จะเป็นโจทย์ใหญ่ที่สุด การประเมินสำคัญ ให้ข้อมูลดีจริง แต่โดยลำพังการประเมินหรือการให้ข้อมูลจะไม่ตอบโจทย์ ถ้าไม่ทำอะไรต่อ”

ดร.สมเกียรติ หยิบยกตัวอย่างโปรแกรมประเมินสมรรถนะนักเรียนมาตรฐานสากล (Programme for International Student Assessment หรือ PISA) ที่นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสด้าน Global Practice จากธนาคารโลก (World Bank) นำเสนอผลงานวิจัยสถานการณ์การพัฒนาทุนมนุษย์วัยแรงงานร่วมกับ กสศ. ว่า เด็กไทยมีโอกาสทดสอบ PISA มาตั้งแต่ปี 2018 ผลคะแนนบ่งบอกถึงระดับการเรียนรู้ของนักเรียน และสะท้อนผลลัพธ์ด้านความเสมอภาคที่แย่ลง แต่การประเมินผลดังกล่าวนำมาสู่การออกแบบและจัดการนโยบายได้แค่ไหน

สุดท้ายนี้ ดร.สมเกียรติ ฝากไปยังทุกฝ่ายว่าจะต้องช่วยกันผลักดันฝ่ายการเมืองให้นำทรัพยากรของรัฐมาใช้ในทางที่ถูกต้อง ยึดโยงทั้งข้อมูลเชิงสถิติและข้อมูลเชิงปฏิบัติจากในพื้นที่ โดยเห็นด้วยว่า ทางรัฐบาลพรรคเพื่อไทยให้ความสนใจในการแก้ไขปัญหาการพัฒนาทุนมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกลุ่มเด็กและเยาวชนจากครอบครัวที่เปราะบางทางเศรษฐกิจ ปิดช่องว่างความเหลื่อมทางการศึกษา หากรัฐบาลนำงบประมาณหลักมาแก้ไขปัญหาในส่วนนี้ก็จะเป็นประโยชน์มากขึ้น 

ทั้งนี้ ควรนำเอาโครงการหรือต้นแบบที่ดี ซึ่งเรามีอยู่แล้วเป็นจำนวนมากมาสานต่อ เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการดำเนินนโยบาย โดยไม่จำเป็นต้องออกนโยบายใหม่เสมอไป

ดร.นฎา วะสี ผู้อำนวยการวิจัย สถาบันเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า  มองนโยบายการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์จำเป็นต้องลงทุนตั้งแต่ยังเด็กเช่นกัน โดยเฉพาะก่อนอายุ 18 ปี เสมือนการสร้างคน 1 รุ่นขึ้นมาให้มีความพร้อมในด้านต่าง ๆ รวมถึงพร้อมที่จะเข้าสู่ตลาดแรงงาน

ดร.นฎา ระบุว่าจากตัวเลขในรอบ 30 ปีที่ผ่านมา พบว่าคนไทยมีการศึกษาสูงขึ้น ผู้หญิงได้รับการศึกษามากกว่าแต่ก่อน เข้ามาทำงานในตลาดแรงงานสูงขึ้น แต่ภาพรวมที่ยังน่ากังวลอยู่ก็คือเรามีอุปสงค์หรือต้องการคนทักษะสูง แรงงานในตลาดงานมีทักษะมากขึ้น ทว่าแรงงานที่มีทักษะสูงกลับได้ค่าแรงตํ่ากว่าที่ควรจะเป็น อีกทั้งยังมีสัดส่วนที่น้อยกว่าประเทศพัฒนาแล้ว ดังนั้น จึงเกิดคำถามว่าเราจะสร้างงานอย่างไรให้รองรับกับความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว

“เราควรจะเห็นค่าจ้างสูงขึ้น ที่ผ่านมาโอกาสที่จะมีงานที่ดีและรายได้สูงมีไม่ค่อยเยอะ ในปัจจุบันงานที่มีรายได้สูงเช่นแพทย์ วิศวกร มีอยู่ประมาณ 13% คนจบปริญญาตรีมีอยู่ประมาณ 22%  ถ้าเปรียบเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอเมริกา งานทักษะสูงอาจจะมี 54% ฉะนั้นภาพที่เราเห็นตลอด 30 ปี กลับกลายเป็นว่าคนจบปริญญาตรีจำนวนเพิ่มขึ้นย้ายไปทำงานระดับกลาง ๆ แล้วก็รายได้ไม่สูงนัก คนจบมัธยมก็ไปทำงานใช้ทักษะที่ต่ำลง ซึ่งตรงนี้อาจหมายความว่าเป็นเพราะว่าทุนมนุษย์เราไม่พอ งานดี ๆ ก็เลยยังไม่มา อาจจะเป็นเรื่องไก่กับไข่” 
ดร.นฎา ทิ้งท้ายว่า การสร้างทุนมนุษย์จะต้องมองให้ไกลมากกว่าการศึกษา เพราะยังมีประเด็นอื่น ๆ ที่ไม่ควรมองข้าม เช่นแรงจูงใจของทุกฝ่าย เพื่อให้การสร้างทุนมนุษย์ตอบโจทย์การพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในทุกด้าน

ทางด้านพงษ์ศักดิ์ ได้ให้มุมมองในส่วนของท้องถิ่นว่า การกระจายอำนาจการปกครองถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาทุนมนุษย์ อีกทั้งยังพบปัญหาการจัดสรรงบประมาณจากส่วนกลางที่ไม่สะท้อนความเป็นจริง กฎระเบียบจำนวนมากยังคงล้าหลังในการนำงบประมาณมาใช้เพื่อการสร้างการศึกษาและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ จุดนี้คืออุปสรรคของท้องถิ่นที่ต้องการส่งเสียงสะท้อนไปยังภาครัฐและรัฐบาลให้ช่วยดำเนินการแก้ไข 

นอกจากนี้ ทุนท้องถิ่นจำนวนมากมีความสนใจในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ร่วมไปกับท้องถิ่น หากเพียงมีการปลดล็อกกฎระเบียบ กระจายอำนาจ และแก้ไขกฎหมายให้มีความยืดหยุ่น การสร้างทุนมนุษย์ก็จะง่ายขึ้นทวีคูณ พร้อมยํ้าว่าคนที่อยู่ใกล้ชิดท้องถิ่นที่สุด ย่อมเป็นผู้ที่เข้าใจปัญหาและแก้ปัญหาได้ดีมากกว่าส่วนกลาง

ในฐานะตัวแทนพรรคการเมือง ดร.ณหทัย ระบุว่า เห็นด้วยกับข้อเสนอเรื่องการลงทุนพัฒนาทุนมนุษย์ของ กสศ. และภาคีเครือข่าย ซึ่งขณะนี้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยมุ่งเน้นการพัฒนาทุนมนุษย์ใน 2 ระยะด้วยกันคือ ‘ระยะสั้น’ มุ่งเน้นการสร้างเศรษฐกิจ ลดต้นทุนในการดำเนินชีวิตของคนไทย โดยเน้นไปที่ครอบครัวผู้มีรายได้ตํ่าก่อน เมื่อพวกเขาสามารถขยับฐานะขึ้นมาเป็นผู้มีรายได้เกือบปานกลาง ก็จะทำให้บุตรหลานในครอบครัวเหล่านี้มีโอกาสที่จะกลับเข้าสู่ระบบการศึกษาได้ 

นอกจากนี้ ดร.ณหทัย เน้นยํ้าว่า ระบบการศึกษาสมัยใหม่ต้องมีความยืดหยุ่นและก้าวข้ามใบปริญญา เนื่องจากว่าประเทศไทยยังมีขุมทรัพย์อื่นๆ ทางสังคม เช่น ภูมิปัญญา ความรู้และทักษะเฉพาะทาง เป็นต้น ซึ่งภาครัฐจะต้องสนับสนุนเพื่อก่อให้เกิดรายได้ในอนาคต โดยขณะนี้ทางรัฐบาลเองก็มีนโยบายที่สอดรับกับข้อนี้คือ ‘หนึ่งครอบครัว หนึ่งซอฟต์พาวเวอร์’ 

สำหรับการพัฒนาทุนมนุษย์ใน ‘ระยะยาว’ นั้น ทางรัฐบาลกำลังจัดทำร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ฉบับใหม่ เพื่อพัฒนาการศึกษาให้ตอบโจทย์กับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในปัจจุบันมากขึ้น อีกทั้งมีเป้าหมายสำคัญในการยุติวงจรความยากจนอีกด้วย ซึ่งการออกนโยบายและผลักดันมาตรการต่างๆ ควรต้องวางอยู่บนฐานข้อมูลที่ถูกต้อง และจำเป็นต้องมีฐานข้อมูลที่กว้างขวางสำหรับการนำมาใช้ด้วย 

สุดท้ายนี้ ดร.ณหทัย ในฐานะตัวแทนของทางรัฐบาลขอน้อมรับคำติชมและรับเอาข้อมูลจากทั้ง กศส. นักวิชาการ และภาคีเครือข่าย เพื่อนำมาดำเนินการและผลักดันนโยบาย และขอให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วม พร้อมทิ้งท้ายว่า ประเทศไทยจะเดินหน้าอย่างรวดเร็วด้วยการยุติความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา